Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player

1/23/2556

6วิธีอาหารเช้าสำหรับคุณแม่


เรามักจะได้ยินข้อคิดที่กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการกินอาหารเช้า เช่น "อาหารเช้าเปรียบเสมือนขุมพลังประจำวันที่ไม่ควรมองข้าม" หรือ"จงกินอาหารเช้าให้เต็มอิ่มและเต็มที่ ประหนึ่งว่าคุณเป็นพระราชา" ซึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำจะเข้าใจและรู้ถึงคุณประโยชน์ต่าง ๆที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารเช้าเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้กินอาหารเช้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณได้พลาดช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายจะได้ชาร์จแบตอย่างเต็มที่ เพื่อรับความกระปรี้กระเปร่าตลอดทั้งวัน
ไปเสียแล้ว


"การไม่กินอาหารเช้า" สาเหตุหลัก ๆมักมาจากการที่เราเลือกที่จะไม่กินมาโดยตลอดจนติดเป็นนิสัย และบางทีการรับประทานอาหารเย็นมื้อใหญ่ หรือกินของจุบจิบตลอดเวลาจนกระทั่งเข้านอน ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณรู้สึกไม่อยากกินอาหารเช้าก็เป็น ได้

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า "การงดรับประทานอาหารเช้า" โดยจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผลที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึง ก็คือ ร่างกายจะขาดความสามารถในการควบคุมน้ำหนัก...!! นั่นหมายความว่า คนที่ไม่กินอาหารเช้าเป็นประจำ มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และมักจะมีพฤติกรรมเลือกที่จะบริโภคอาหารที่มีไขมัน แคลอรี่ และน้ำตาลสูงกว่าปกติ แถมยังเลือกที่จะกินผักและผลไม้น้อยลงกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ

แต่ไม่ต้องตกใจไป คุณสามารถจะปรับพฤติกรรมนั้นได้ ลองเริ่มต้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ด้วย 6 เคล็ดไม่ลับ เพื่อเติมพลังให้ร่างกายด้วยอาหารมื้อเช้า ดังนี้..
1.เริ่มต้นมื้อเช้ากับ "อาหารเบา ๆ ปริมาณน้อย ๆ"
ฝึกรับประทานอาหารมื้อเช้าด้วยเมนูอาหารที่ย่อยง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร และไม่ควรบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป สำหรับการเริ่มต้น เช่น ลองรับประทานเครื่องดื่มโปรตีนเชคกับผลไม้ หรือไข่ต้มสักลูก ตบท้ายด้วยผลไม้ซัก 2-3 ชิ้น แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นในการรับประทานอาหารเช้าที่ดีและมีคุณค่าแล้ว

2."โปรตีน" สารอาหารสำคัญสำหรับมื้อแรก !

จาก การศึกษากลุ่มตัวอย่างพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าโดยบริโภคโปรตีนในปริมาณสูง มีแนวโน้มที่จะลดแคลอรี่จากการบริโภคอาหารมื้อเย็นได้ต่ำกว่าผู้ที่รับ ประทานอาหารมื้อเช้าแบบปกติถึง 200 กิโลแคลอรี่ เนื่องจาก "โปรตีน" เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับมื้อเช้า เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึก "อิ่ม" ได้นานแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายและจิตใจตื่นตัวไปตลอดทั้งวันอีกด้วย...ว้าว...

3.เปลี่ยน "อาหารมื้อหนัก" เป็น "ของว่าง" ที่กินได้เรื่อย ๆ
สำหรับ การฝึก "รับประทานอาหารเช้า" ให้เป็นนิสัยนั้น จริง ๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารทั้งมื้อให้หมดภายในครั้งเดียว แต่สามารถใช้เวลาไปกับอาหารมื้อนั้น ๆ ด้วยการละเลียดอาหารแต่ละอย่าง หรือเว้นช่วงการรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างอาหารคาว - อาหารหวาน เป็นต้น

4.ตื่นก่อนเวลาปกติ 15 นาที
"15 นาที" ที่เพิ่มขึ้นจากการที่คุณตื่นก่อนเวลาปกติอย่างที่เคย นอกจากคุณจะได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันในยามเช้าแบบไม่ต้องเร่งรีบแล้ว ยังเป็นการช่วยกระตุ้นระบบต่างๆ ภายในในร่างกาย ให้ค่อยๆ ตื่นตัวจากการนอนหลับและพร้อมที่จะผจญภัยกับภารกิจหนักต่างๆ ในช่วงวันอีกด้วย

5.เมนูไหน ๆ ก็เป็นอาหารเช้าได้เสมอ

ไม่เคยมีกฎ ตายตัวหรือข้อบังคับว่า เมนูอาหารชนิดใดบ้างที่ควรหรือไม่ควรเป็น "อาหารมื้อเช้า" เพราะเราเน้นที่คุณค่าของสารอาหารที่บริโภคเป็นหลัก ดังนั้น ไม่ว่าอาหารมื้อเช้าของคุณจะเป็นอาหารเหลือจากมื้อเย็นที่รับประทานไม่หมด ของเมื่อวาน หรืออาหารปรุงสำเร็จที่เราซื้อไว้นานแสนนานอยู่ในช่องแข็ง ทุกเมนูอาหารสามารถเป็น "อาหารมื้อเช้า" ได้เสมอ

6. มั่นใจแค่ไหน..กับ "กาแฟและมัฟฟิน" มื้ออาหารเช้า
มี อีกหลายคนที่ไม่ยอมรับประทานอาหารเช้า เพราะเชื่อว่า "แค่ดื่มกาแฟคู่กับมัฟฟิน" หรือเบเกอรี่อื่น ๆ สักชิ้นสองชิ้นก็อิ่มท้อง เทียบเท่ากับอาหารมื้อเช้าที่มีคุณค่าได้แล้ว แต่ในความเป็นจริง "แค่กาแฟกับมัฟฟิน" กลับให้พลังงานที่สูงกว่า 700 กิโลแคลอรี่ รวมทั้งมีไขมันไม่ดีที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของคุณถึง 6 ช้อนชา
การเริ่มต้นกินอาหารเช้าแบบไม่ฝืนความรู้สึก ทำได้ไม่ยาก เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในอนาคต... ลองปรับพฤติกรรมการกินของคุณ โดยหันมาให้ความสำคัญกับ "การรับประทานอาหารมื้อเช้า" ซึ่งถือว่าเป็นอาหารมื้อแรกของวัน...เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้...แล้วคุณจะพบ การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นสะท้อนให้เห็นจากร่างกายของคุณเอง...

คุณแม่ นอนเต็มอิ่มแล้วทำไมยังง่วงอยู่?


ในยุคที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังสมองทำงานอย่างหนักในระหว่างวัน จนเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปตามๆ กันพอตกกลางคืนก็อยากจะรีบเข้านอนเพื่อจะได้พักผ่อนออมแรงไว้เผื่อวันรุ่ง ขึ้นจะได้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส แต่ที่ไหนได้ ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ แต่เอ๊ะ! ทำไมจึงหาวออกมาเสียงฟอดใหญ่ แล้วรู่สึกเพลียมาก เห็นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นหมอนใบนุ่มน่าหนุนไปเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็รีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะอยากมีสุขภาพดีเหมือนคนอื่นๆ ดูบ้าง ตื่นเช้ามาก็ไม่ค่อยจะสดชื่น แถมรู้สึกง่วงมากกว่าเดิมเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าอย่างนั้น เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะ

อย่าลืมนะคะว่าจิตใจที่แจ่มใสอยู่ในร่าง กายที่สมบูรณ์การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพของเรา เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในขณะที่เรานอนหลับนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะพักตามไปด้วย การหายใจจะช้าลงอย่างสม่ำเสมอ มีการหลั่งฮอร์โมนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ในทางกลับกันหากนอนไม่พอ ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดอาการเวียนศรีษะ คิดไม่ออก เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า การนอนที่เพียงพอทำให้คุณรับประทานอาหารลดลง ลดความอยากรับประทานลงอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ พักผ่อน และก็ทำให้อยากอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น

1.มีเรื่องไม่สบายใจ เครียดกังวลจนทำให้สมองรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว

2.เกิดลมในช่องท้องมากเกินไป ทำให้การไหลเวียนเลือดต่ำ และรวมถึงมีอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว

3.ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep apnea) เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับมี อันตราย และทำให้เกิดความผิดปกดติอื่นจน ถึงเสียชีวิตได้ พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้บ่อยครั้งในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคความดันเลือดสูงจะทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อย ในระหว่างนอนหลับ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพื่อหายใจ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้นอน 

4.ภายในห้องอาจจะมีเสียงรบกวนอยู่ ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เสียงหยดน้ำ เสียงเครื่องปั๊มน้ำ เสียงแอร์ที่ดังเกินไป เสียงพัดลม เสียงเข็มนาฬิกาเดิน เป็นต้น เสียงเหล่านี้อาจจะแทรกเข้าไปในความรู้สึกและคลื่นสมองของเราระหว่างนอนได้ ทำให้รบกวนการนอน และนอนไม่เต็มอิ่ม


มานอนหลับพักกายใจอย่างมีคุณภาพกันเถอะ1.บุหรี่ สุรา ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ งดและลืมไปได้เลย อย่างน้อยๆ ก็ 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นสมองและทำให้ปัสสาวะบ่อย จนรบกวนการนอนได้ แถมไม่ดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก

2.เข้านอน และตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวันจนเคยชิน แรกๆ ก็อาจจะไม่คุ้นเคย แต่รับรองว่าเมื่อบ่อยครั้งเข้าจะชินไปเอง

3.จัดระเบียบการใช้ชีวิตให้ดีๆ สะสางปัญหาการงานที่คั่งค้าง และวิธีการแก้ไข เพื่อความสบายใจ และนอนหลับง่าย

4.ออกกำลังกายก่อนหน้าที่จะเข้านอนอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้น

5.จัด ห้องนอนให้สะอาด น่านอนไม่มีแสงรบกวน หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอนอยู่เสมอ เอาไปตากแดดจัดๆ ป้องกันไรฝุ่น หาหมอนที่พอดีกับต้นคอ เพื่อช่วยให้นอนหลับสนิท ไม่ปวดต้นคอและหลังจะช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น

6.สวด มนต์ หรือนั่งพักผ่อนสบายๆ สักพักก่อนนอน เพื่อให้สมองคลายกังวลจากเรื่องเครียดๆ อาจจะฟังเพลงเพราะๆ สูดอากาศที่บริสุทธ์ หรือดมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ

7.ดื่มน้ำอุ่น หรือนมอุ่นก่อนนอนจะช่วยในการนอนหลับ เพราะกรดอะมิโนทริปโตฟานทำให้ง่วงนอนได้ หลีกเลี่ยงการพูดหรือฟังเรื่องตื่นเต้น น่ากลัว เพราะจะกระตุ้นให้เราไม่หลับ

4 พัฒนาการเด็กที่คุณแม่ควรจะต้องส่งเสริม


4 พัฒนาการเด็กที่คุณแม่ควรจะต้องส่งเสริม
วันนี้เป็นอีกวันที่ทางเว็บ Mom108.com จะเอาบทความเกี่ยวกับ พัฒนาการเด็กที่คุณแม่ควรจะต้องส่งเสริม หรือ บทความที่เกี่ยวข้องกันเช่นว่ากระตุ้นพัฒนาการลูกด้วยเสียงเพลง มาให้ทุกท่านได้ทราบค่ะ วันนี้ทางเว็บได้คัดเอา 4 พัฒนาการเด็กล้วนๆมาเข้าเรื่องกันได้เลยค่ะ
          เมื่อเข้าสู่วัยเด็ก เด็กเล็กเริ่มช่วยเหลือตัวเองเก่งมากขึ้น เริ่มซนและอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ลองมาทำความรู้จักกับโลกของเด็กกันเพื่อที่คุณพ่อคุณแม่จะได้เข้าใจและส่งเสริมพัฒนาการให้กับลูกน้อยในวัยนี้ ได้อย่างถูกต้องค่ะ

1.เคลื่อนไหวได้เก่ง 

          เด็กวัยนี้มีพัฒนาการทางร่างกายที่เห็นได้ชัด คือ กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น สามารถเดินได้คล่องขึ้น หรือเริ่ม หัดวิ่ง ควบคุมการใช้มือและแขน หยิบสิ่งของได้ถนัด ใช้มือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาศัยความละเอียดอ่อนหรือทักษะมากกว่าเดิม การเรียนรู้ของเด็กวัยนี้เกิดจากการ  ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ลูกจะได้เรียนรู้จากการฝึกฝนบ่อย ๆ ดังนั้น จึงควรเล่นกับลูกบ่อย ๆ เพราะการเล่นจะช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและสติปัญญาของเด็กวัยนี้ได้ดี รวมถึงเด็กจะได้ฝึกฝนการใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำงานร่วมกันด้วย
ส่งเสริมได้อย่างไร
        -หากิจกรรมช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกเดินบ่อย ๆ เช่น ปรบมือแล้วให้ลูกเดินมาหาตามเสียงปรบมือ

        -ให้เด็กได้เล่นออกกำลัง เช่น วิ่งเล่น เตะบอล เดินทรงตัว ขี่จักรยาน เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะเพลง

        -การเล่นดินน้ำมัน หรือแป้งปั้น จะทำให้เด็กรู้สึกสนุกที่ได้ปั้นเป็นรูปต่าง ๆ เป็นการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กจากการปั้นและฝึกการใช้จินตนาการด้วย

        -ทำหุ่นนิ้วมือเป็นรูปต่าง ๆ เช่น สัตว์ ดอกไม้ แล้วเล่นกับลูก การเล่นหุ่นนิ้วจะช่วยพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เพิ่มทักษะในการใช้นิ้วและควบคุมการใช้นิ้วมือได้ดีขึ้น

2.หนูเรียนรู้ได้ดี
          กลไกการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเด็กวัยนี้ จะผ่านการฟังและการได้ยิน พัฒนาเป็นการสื่อสารและความเข้าใจ เมื่อพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ จะช่วยให้สมองเกิดการจดจำความหมาย คำศัพท์จากประโยคที่ได้ยิน แม้ในช่วงแรกลูกอาจจะยังไม่สามารถโต้ตอบเป็นคำพูดได้ แต่ลูกจะใช้การยิ้ม ใช้ท่าทางเข้าช่วย เช่น พยักหน้าตอบกลับเมื่อคุณแม่ถาม เป็นต้น

          เมื่อเด็กโตขึ้น เด็กจะสามารถเรียนรู้เรื่องสิ่งของหรือพฤติกรรมของคนรอบข้างได้มากขึ้น เช่น เรียกชื่อผลไม้ แยกวัตถุ สิ่งของ หรือเสียงต่าง ๆ ได้ เช่น แยกเสียงสุนัขหรือแมวได้ เป็นต้น
ส่งเสริมได้อย่างไร

          วิธีที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ได้ดีที่สุด คือการที่คุณพ่อคุณแม่ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับลูก ช่วยให้คำแนะนำ และแสดงให้ดูว่ากิจกรรมเหล่านั้นทำอย่างไร

        -ในช่วงแรกเด็กจะยังไม่เข้าใจความหมายบางคำ แต่เขาจะพยายามเดาจากประโยคทั้งหมด อย่าพูดกับลูกโดยไม่มองหน้าเพราะเด็กต้องการความสนใจ บางครั้งอาจใช้ท่าทางประกอบการพูดเพื่อให้ลูกเข้าใจได้เร็วขึ้น เช่น พูดว่า "ไปแปรงฟันกันนะลูก"พร้อมกับหยิบแปรงสีฟันชูให้ดู เป็นต้น

        -ร้องเพลงให้ลูกฟังบ่อย ๆ เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นอาจซื้อของเล่นที่เป็นเครื่องดนตรีให้ เช่น เปียโน กลอง เพื่อให้ลูกได้เล่นดนตรี ตามแบบของเขาเอง และหากคุณพ่อคุณแม่ร่วมร้องเพลงและเล่นไปกับเขาด้วย ก็จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกยิ่งขึ้น

        -จัดกิจกรรมที่ลูกจะได้สื่อภาษา เช่น ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง เล่านิทาน คุณพ่อคุณแม่ต้องพูดคุยกับลูกให้มากในทุก ๆ ช่วง และทุกกิจกรรมที่ได้อยู่กับลูก เพื่อให้ลูกได้เห็นตัวอย่างการใช้ภาษา ได้เรียนรู้คำศัพท์ต่าง ๆ เปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้ภาษาและรับฟังในสิ่งที่ลูกพยายามสื่อสารทุก ๆ เรื่อง และตอบคำถามทุกเรื่อง ที่ลูกถามโดยไม่แสดงท่าทีหรือมีน้ำเสียงที่รำคาญ จะทำให้ลูกกล้าที่จะพูดมากขึ้น

         -หากระดาษและสีไว้ให้ลูกได้วาดรูประบายสี ขีด ๆ เขียน ๆ เล่นตามใจ เป็นการฝึกใช้จินตนาการ

3.เด็กอยากมีส่วนร่วม

          การที่เด็กได้เข้าสังคมของเด็กจะทำได้โดยผ่านการเล่น เช่น คุณแม่พาไปเล่นกับเพื่อนบ้าน หรือพาไปเล่นที่สนามเด็กเล่น จะช่วยลดความขี้อาย สอนให้ลูกรู้จักการแบ่งปัน แก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ รวมทั้งสอนให้รู้จักควบคุมอารมณ์โกรธ และพฤติกรรมต่อต้านสังคมด้วย

          หากเด็กมีเพื่อนสนิท เขาก็จะได้เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น รู้จักการให้ และรู้จักนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่น

ส่งเสริมได้อย่างไร

        -พาลูกไปเล่นนอกบ้านกับเด็กคนอื่นๆ เมื่อเด็กทะเลาะกัน คุณแม่ไม่ควรเข้าข้างหรือตำหนิลูกก่อน ควรถามลูกถึงสาเหตุที่ทะเลาะกัน และสอนลูกว่าควรทำอย่างไร นอกจากนี้ คุณแม่ควรสอนให้เด็กรู้จักการขอโทษและการให้อภัยผู้อื่นด้วย

        -พาไปร่วมกิจกรรมที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น เมื่อไปทำธุระต่าง ๆ หากต้องรอนานก็เล่าให้ลูกรู้ว่ากำลังทำอะไร ทำไมจึงต้องรอ จะทำให้ลูกค่อย ๆ เรียนรู้การรอคอยและเคารพสิทธิผู้อื่น

        -ให้เด็กได้เรียนรู้บทบาทการเป็นผู้ให้และผู้รับที่ดี เช่น สอนให้ลูกแบ่งปันของเล่นหรือขนมให้เพื่อน สอนให้ลูกให้อาหารสัตว์ เมื่อได้รับของจากผู้อื่นก็ต้องขอบคุณ เป็นต้น

4.เข้าใจหนูหน่อย
          ช่วงวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเอาแต่ใจตัวเอง ซน และยังสื่อสารบอกความต้องการของตนเองได้ไม่ดีนัก  จึงพบพฤติกรรมร้องอาละวาดได้บ่อยในเด็กวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถรับมือกับอารมณ์เหล่านี้ได้โดยต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของ ลูก ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และส่งเสริมให้ลูกมีอารมณ์ที่มั่นคง

ส่งเสริมได้อย่างไร

        -เลี้ยงดูลูกด้วยความรัก ความเข้าใจ ใช้การโอบกอดและสัมผัสเสมอ และถ้าลูกสนใจสิ่งใด พ่อแม่ควรให้ความสำคัญ เข้าใจและยอมรับ คอยให้คำแนะนำ ไม่ตำหนิหรือลงโทษ และระวังในเรื่องการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดี จะช่วยสร้างความไว้วางใจ รู้สึกว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง และทำให้ลูกรู้สึกว่า ตัวเองเป็นที่รัก

        -หากิจกรรมที่ลูกได้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ เช่น เล่านิทาน การฟังเพลง การเล่นตุ๊กตาหรือของเล่น การวาดรูป จะช่วยให้ลูกจะได้ใช้จินตนาการและฝึกการใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

        -ฝึกให้เด็กบอกความรู้สึกของตนเอง พ่อแม่จะต้องรับฟังอย่างสนใจและเข้าใจในความรู้สึกของลูก จะช่วยปลูกฝังให้เด็กไม่เก็บกดความรู้สึกเอาไว้และป้องกันไม่ให้ใช้วิธี ระบายออกที่รุนแรง เป็นพื้นฐานไปสู่การจัดการความรู้สึกตนเองได้อย่างถูกต้อง

ไข้หวัีดใหญ่กับการตั้งครรภ์


วันนี้ทางเว็บได้เอาข่าวจากกระปุกมาให้คุณแม่มือใหม่หรือคุณแม่ที่กำลังจะตั้งครรภ์มาอ่านให้ข้อคิดถึงภัยอันตรายใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้ามได้บางทีโรคใกล้ตัวก็เป็นอัตรายกับเราได้โดยที่คาดไม่ถึงค่ะ
คณะนักวิจัยเดนมาร์ก เผย สตรีที่เป็นไข้หวัดใหญ่หรือเป็นไข้นานกว่า 1 สัปดาห์ระหว่างตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะคลอดบุตรซึ่งมีอาการผิดปกติในกลุ่มออทิซึม (Autism)


          มีรายงานว่า คณะนักวิจัยเดนมาร์ก เผยผลการศึกษาเด็กวัย 8-14 ปี เกือบ 97,000 คน ในประเทศเดนมาร์ก พบว่า ช่วงปี 2540-2546 ในจำนวนนี้ร้อยละ 1 หรือ 976 คน มีอาการป่วยเป็นโรคออทิซึม (Autism) มีความผิดปกติในการเจริญของระบบประสาท ด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการสื่อสาร และมีพฤติกรรมทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำ ๆ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักเรียกกันว่า ผู้ป่วยออทิสติก จากผลการวิจัย ยังระบุว่า มารดาที่มีประวัติระหว่างตั้งครรภ์ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หลายครั้ง ทำให้เด็กเสี่ยงเป็นออทิสติกเพิ่มขึ้น 2 เท่า และหากมารดามีประวัติระหว่างตั้งครรภ์ว่าเป็นไข้นานกว่า 7 วัน ก่อนอายุครรภ์ครบ 32 สัปดาห์ เด็กเสี่ยงเป็นออทิสติกเพิ่มขึ้น 3 เท่า

          อย่างไรก็ดี คณะนักวิจัยออกตัวว่า การเป็นไข้ระหว่างตั้งครรภ์กับการคลอดบุตรเป็นออทิสติกอาจเป็นเรื่องบังเอิญ จึงต้องศึกษาเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้น แต่แนะนำว่าสตรีตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไว้ก่อน เนื่องจากระยะเวลา 9 เดือนที่ตั้งครรภ์ร่างกายมักมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าปกติ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกทางหนึ่งด้วย

1/22/2556

กลยุทธในการเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็ก[เสื้อผ้าเด็ก]


กลยุทธในการเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็ก[เสื้อผ้าเด็ก]

เราจะเรียกช่วงนี้ว่ายุคข้าวยากหมากแพงก็คงไม่ผิดเพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้มีแต่แข่งกันขึ้นราคา ซึ่งอาจจะสวนทางกับรายรับในครอบครัว ฉะนั้นการจับจ่ายใช้เงินในแต่ละเรื่อง ต้องจัดระเบียบกันพอตัว ตัดรายจ่ายที่ไม่จําเป็นออก แล้วยิ่งเป็นครอบครัวที่มีลูกด้วยแล้ว ต้องรู้จักการใช้ การออม เพื่ออนาคตลูก กลยุทธ์ต่อไปนี้ เป็นตัวช่วยให้คุณรับมือกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายของลูกเราด้วยกันค่ะ


กลยุทธ์ที่ 1 วางแผนการซื้อ เสื้อผ้าเด็ก
จดรายการสิ่งของที่จําเป็นต้องซื้อ ว่ามีอะไรบ้าง จะช่วยให้คุณบริหารเรื่องการเงินและเวลาได้ดี ไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปกับการเลือกซื้อของอื่น ๆ ที่อาจไม่จําเป็นที่อยู่นอกรายการ เพราะคุณมีจุดหมายที่ชัดเจนสําหรับการซื้อนั่นเอง

สูตรประหยัดใช้เงินให้เป็นอยู่ที่การเช็กของใช้ต่าง ๆ ของลูกให้ดีก่อน ว่ายังมีใช้หรือยังไม่ได้ใช้บ้างหรือเปล่า เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนหรือซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้สักที กลายเป็นของหมดอายุ เสียเงินเปล่าค่ะ

กลยุทธ์ที่ 2 ดูก่อนซื้อ

สํารวจราคาสินค้าก่อนซื้อไว้บ้างก็ดีค่ะ เพราะสินค้าชนิดเดียวกัน แต่ราคาขายในห้างสรรพสินค้าแต่ละแห่งก็ต่างกัน จํานวนเงินส่วนต่างนี่แหละ ถึงจะเล็กน้อย แต่ถ้าซื้อของในจํานวนมากชิ้น ลดราคาหลายรายการตามที่ต้องการ คุณก็ได้ส่วนลดมากขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมนึกถึงค่าเดินทางที่ต้องไปซื้อ เพราะได้ของถูก แต่ค่ารถแพง รวมกันแล้วอาจจะไม่คุ้มค่าเหนื่อย

กลยุทธ์ที่ 3 วิธีการซื้อ

ซื้อแบบโหล
ของที่จําเป็นต้องใช้เยอะ ใช้บ่อย ก็จําเป็นต้องซื้อแบบโหลจะได้ถูกกว่ามาก เช่น ผ้าอ้อม นม ถุงมือ ถุงเท้า ผ้ากันเปื้อน แต่ถ้าสิ่งไหนไม่จําเป็น และคิดว่านํามาเก็บไว้ก่อน ก็ต้องคิดว่าคุณแม่จะได้ใช้สิ่งนั้นไหม ถ้าซื้อมาเยอะ ๆ แล้วเก็บไว้ เผื่อได้ใช้ ก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในการซื้อเป็นโหล

ซื้อแบบปลีก

 ของที่ไม่ต้องซื้อเก็บ หรือมีวันหมดอายุเร็ว เช่น เสื้อผ้าเด็ก ที่ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง เพราะเด็กเล็กโตเร็วมาก แต่ก็สามารถเผื่อขนาดได้ และเน้นที่คุณภาพของเนื้อผ้า เพื่อลูกน้อยใส่ได้นาน
         
กลยุทธ์ที่ 4 ช่องทางการซื้อ

สินค้าตลาดนัด
เดี๋ยวนี้ร้านค้าตลาดนัดสําหรับคุณแม่มีมากขึ้นหากคุณสะดวกพอมีเวลาอยู่บ้าง ก็มีข้อดีที่ว่าสามารถหยิบจับ ดูสินค้าได้เลย แต่อย่ารีบใจอ่อนกับคําหวานของแม่ค้า จนลืมต่อรอง ขอส่วนลดเรื่องราคากับคนขาย เพื่อเซฟเงินของคุณ

TIPS
         -การรู้แหล่งร้านค้าหรือตลาดนัดที่มีสินค้าราคาถูก จะช่วยให้ได้ของราคาถูกง่ายขึ้นค่ะ เช่น ตลาดนัดวังหลัง สินค้าเรื่องนมจะถูกเป็นพิเศษ ตลาดนัดซอยละลายทรัพย์ จะเด่นเรื่อง เสื้อผ้าเด็ก

         -หากอยู่ไกลจากแหล่งของถูกก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ เพราะคาดว่า แต่ละที่ก็น่าจะมีแหล่งร้านค้า ราคาถูกใจคุณแม่อยู่บ้าง

         -นอกจากรู้แหล่งสินค้าราคาถูกแล้วก่อนที่คิดจะซื้อควรเปรียบเทียบเรื่องราคาต่อชิ้นและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประกอบ เช่น ค่ารถในการเดินทางไป เป็นต้น

สินค้าออนไลน์
คุณแม่หลายคนหันมาใช้บริการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตกันพอควร เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง (คลิกเลือกได้) สินค้าก็มีหลากหลาย และยังแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องลูกกันได้ (ตลอด 24 ชั่วโมง) แต่มีความเสี่ยง ในเรื่องความน่าเชื่อถือ การถูกหลอกขายของ จึงต้องระมัดระวัง ตัดสินใจให้ดีก่อนค่ะ ทางที่ดีควรดูเว็บบอร์ดของร้านค้า Feedback ว่าเป็นอย่างไรด้วย ว่ามีการส่งสินค้าจริงบ้างไหม
 
สินค้าจากเพื่อนหรือคนรู้จัก
น่าจะเป็นช่องการหาสินค้าที่คุณมั่นใจในคุณภาพและมิตรภาพค่ะ เพราะของบางอย่างของลูก ก็ใช้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เช่น อ่างน้ำ รองเท้า ฯลฯ การซื้อของต่อจากเพื่อน คนรู้จัก ที่คุณภาพยังดี ราคาถูก อาจไม่ต้องมองหาของมือหนึ่งก็ได้
ยังไงคุณแม่คุณพ่อหรือผู้ที่สนใจสามารถเอาทิปเหล่านี้มาใช้ได้ค่ะ อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ
[เสื้อผ้าเด็ก]

การมองเห็นของเด็กแรกเกิด[เด็กแรกเกิด]



เด็กแรกเกิด เห็นเด็กกวาดตามองได้อย่างนี้เด็กก็ยังเห็นไม่ชัด ถ้าอยู่ใกล้มากๆ สักประมาณ 8 นิ้ว หรือเป็นของที่ใหญ่มากๆ สีสดๆ รูปร่างชัดๆ เด็กถึงค่อยเห็น เด็กไวต่อแสงมากนะเวลาอุ้มไปถูกแดดก็จะหลับตาปี๋แต่ถ้าเป็นแสงสลัวๆในห้องเด็กถึงค่อยหรี่ตามอง  
          เด็กเดือนที่ 1 กว่าเด็กจะจ้องดูให้ชัดๆ ต้องใช้ความพยายามในการปรับความชัดของภาพมากบางทีถึงกับตัวสั่น หรือสะอึกเชียวนะ ตอนนี้เด็กได้แต่นอนนิ่งๆ มองสิ่งที่อยากรู้บางครั้งใช้เวลาจ้องอยู่นาน 10-15 นาทีก็มี

         เด็กเดือนที่ 2 ต้องรอถึงกลางเดือนกว่าเลนส์สายตาเด็กจะปรับตามระยะห่างของวัตถุได้ เด็กต้องใช้พลังในการมองมากบางทีถึงกับลงทุนหันหน้าไปมอง เด็กเริ่มเห็นได้ไกลตั้ง 6-8 ฟุต แล้วก็หันตามของที่เคลื่อนที่ได้

         เด็กเดือนที่ 3 สายตาเด็กจะโฟกัสภาพมากขึ้นจนตอนนี้ก็มองเห็นสิ่งต่างๆได้ทั่วห้องแล้ว แล้วถ้าเห็นเด็กชอบดูมือตัวเองก็อย่าแปลกใจ เพราะประสาทตาจับความชัดของภาพได้ดีขึ้น เลยพร้อมที่จะเรียนรู้โดยใช้มือจับสิ่งของต่างๆ ให้สมกับที่อยากรู้ทันที

         เด็กเดือนที่ 4 เด็กเห็นได้ไกลได้มากขึ้น ควบคุมระยะชัดเจนของวัตถุที่อยู่ใกล้ไกลได้สบายๆคุณภาพการมองเห็นของเด็กเกือบเท่าผู้ใหญ่ แถมยังเห็นสีสันสดใสไม่น้อยหน้าผู้ใหญ่ด้วย

         เด็กเดือนที่ 5 เด็กเลิกมองอะไรผ่านๆ เหมือนวัยแบเบาะแล้ว หรือเรื่องที่จะให้มองตามน่ะไม่มีเสียล่ะ พอเห็นอะไรก็จะเข้าไปคว้าจับเลย ก็เด็กมองและสัมผัสจะช่วยให้หนูเรียนรู้เรื่องการมีอยู่และการหายไปได้มากขึ้น

         เด็กเดือนที่ 6 เด็กเก่งขึ้นนะ แค่ชําเลืองมองแป๊ปเดียวก็หยิบของที่ต้องการได้แล้ว ก็สายตากับมือทํางานประสานกันได้ดีแล้วเด็กก็ชอบสํารวจความลึกในสิ่งของชอบยิ้มกับเงาในกระจก

         เด็กเดือนที่ 7 เด็กมองเห็นสิ่งของชิ้นเล็กๆได้ อย่างพวกมด แมลง แถมยังเคลื่อนสายตามองตามของเล็กๆ ได้อีก ก็เด็กสนใจรายละเอียดสิ่งของเล็กๆแถมยังชอบแบมือดูของในมืออีก วัตถุอันไหนใกล้ไกลหนูก็แยกระยะห่างของวัตถุออกได้ด้วย

         เด็กเดือนที่ 8  ที่ผ่านมาเด็กมองเห็นแต่ภาพลักษณะที่เด็กอยู่ในท่านอนหงาย ก็เลยเปลี่ยนท่าดูบ้าง ทั้งผงกหัว ส่ายหัวไปมา เอียงคอ หรือมองแบบกลับหัว ก็เด็กอยากเรียนรู้ว่าขนาดและรูปร่างสิ่งของไม่เปลี่ยนไปแน่ๆหรือเปล่า

         เด็กเดือนที่ 9 ตอนนี้เด็กหัดปีน หัดยืน ระดับสายตาเลยอยู่สูงกว่า ตอนที่เด็กนั่งและนอน เด็กก็เลยได้เห็นภาพในมุมต่ำแทน เพราะช่องว่างที่เด็กค้นพบเวลาปีนบันไดหรือเก้าอี้

         เด็กเดือนที่ 10 ความสามารถในการมองของเด็กไม่แพ้ผู้ใหญ่ เด็กชอบมองของเฉพาะอย่าง แถมยังแยกเอาออกมาได้อีก เช่น หยิบของที่เด็กสนใจออกจากกล่อง ชอบมองของที่หล่นมาจากขวด ค้นหาของที่ซ่อนก็ยังได้

         เด็กเดือนที่ 11 พัฒนาการมองเห็นของเด็กจะสมบูรณ์เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เด็กสนใจมองภาพในหนังสือ แล้วก็เงาในกระจกถึงจะรู้แล้วว่าเงาตัวเองหรือเงาพ่อแม่ในกระจกกับตัวจริงนั้นต่างกัน เด็กก็ยังชอบแวะมาดูเงาในกระจกอยู่นั่นเอง

         เด็กเดือนที่ 12 เมื่อก่อนเห็นอะไรเด็กจะลงทุนตะครุบลงไปทั้งมือ ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ก็สายตาเด็กใช้การได้ดีมือเด็กก็ใช้ถนัดแค่ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หยิบของชิ้นเล็กๆ ก็ได้แล้วแถมยังหยิบของในขณะที่มองไปทางอื่นได้ด้วย

วิธีการฝึกสายตาของ เด็กแรกเกิด

          แขวนโมบายหรือหาของเล่นเคลื่อนที่ ภาพใหญ่ๆสีสดๆมาฝึกสายตาเด็กและพูดคุยยิ้มสบตากับเด็กบ่อยๆเล่นกับเด็กเพิ่มของเล่นให้เพียงพอ อุ้มไปดูสิ่งต่างๆ นอกบ้านบ้าง ถ้าไม่สะดวกก็ให้คุณพ่อมาช่วยหรือญาติ พี่เลี้ยงก็ได้ ถ้าไม่มีใครใช้รถเข็นพาเด็กไปเปิดโลกกว้างด้วยสายตาคู่น้อยๆก็ได้ค่ะ เพียงแค่นี้เองสำหรับวิธีฝึกสายตาของ เด็กแรกเกิด
[เด็กแรกเกิด]